บทที่ 1
“ขออภัยค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”
เมื่อได้ยินเสียงผู้หญิงจากระบบอัตโนมัติ เอเลน บราวน์ ก็ขบริมฝีปาก หัวใจของเธอพลันวูบลงอีกเล็กน้อย
ปอยผมเรียบลื่นสองสามเส้นตกลงมาปรกใบหน้าอย่างไม่ใส่ใจขณะที่เธอขมวดคิ้ว ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวลที่ปิดไม่มิด
วีร่า สมิธ ลูกสาวของเธออาเจียนไม่หยุด พวกเขาตัดประเด็นอาหารเป็นพิษออกไปแล้ว และแม้จะลองยาทุกชนิดก็ไม่ได้ผล ตอนนี้จู่ๆ เธอก็หมดสติไป
นี่เป็นครั้งที่สี่แล้วที่เอเลนโทรหาอาเธอร์ สมิธ
ทุกครั้งเขาจะตัดสายทิ้งทันที
ทันใดนั้นวีร่าก็ไอออกมาสองครั้งจากบนเตียง
เอเลนทิ้งโทรศัพท์ทันทีแล้วรีบพุ่งเข้าไปหา “วีร่า” เธอเรียกอย่างร้อนรน
ใบหน้าของวีร่าซีดเผือดขณะที่เธอลืมตาขึ้นช้าๆ และพูดออกมาอย่างยากลำบาก “หนูอยากไปหาเอมิลี่ วันนี้เธอมีงานเลี้ยงฉลองที่ชนะรางวัลออกแบบ หนูอยากไปเจอเธอ”
ประกายแห่งความเข้าใจวาบขึ้นในดวงตาของเอเลน
ในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้วว่าทำไมอาเธอร์ถึงไม่รับโทรศัพท์...เพราะวันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองของเอมิลี่ โจนส์
ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาไม่กลับบ้าน แม้ว่าเธอจะส่งข้อความไปบอกเขาแล้วว่าวีร่าอาเจียนไม่หยุด
ความขมขื่นแล่นปราดขึ้นมาในลำคอ
ก็เอมิลี่คือคนที่เขาหลงรักมาตลอดนี่นา
หลายปีก่อน พ่อแม่ของเอมิลี่เสียชีวิตเพราะช่วยอาเธอร์ไว้ และครอบครัวสมิธก็ได้อุปการะเอมิลี่ในวัยสิบหกปีเอาไว้
หากเอเลนไม่ได้แต่งงานกับอาเธอร์ ป่านนี้เอมิลี่คงจะได้เป็นคุณนายสมิธไปแล้ว
ทันใดนั้น จูเลียส สมิธ ก็วิ่งเข้ามาจากข้างนอก เกาะขาของเอเลนแล้วร้องงอแง
“แม่ครับ จูเลียสก็อยากไปงานเลี้ยงของเอมิลี่ด้วย! แม่จะพาเราไปเมื่อไหร่ครับ”
เอเลนก้มลงมองจูเลียสแล้วพูดเบาๆ “ตอนนี้แม่ต้องพาวีร่าไปโรงพยาบาลนะลูก หนูอยู่บ้านกับพี่เลี้ยงนะ อย่าวิ่งไปไหนล่ะ”
อาการอาเจียนของวีร่ารอช้าไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว
เมื่อติดต่ออาเธอร์ไม่ได้ เธอคงต้องพาลูกไปโรงพยาบาลด้วยตัวเอง
เอเลนดึงเสื้อแจ็กเก็ตออกจากตู้เสื้อผ้า ห่อตัววีร่าไว้อย่างแน่นหนา แล้วรีบอุ้มเธอลงไปชั้นล่าง
เธอย้ำกับพี่เลี้ยงเด็ก “จูเลียสซนมาก อย่าให้คลาดสายตานะคะ”
พี่เลี้ยงพยักหน้ารับทันที “ค่ะ คุณนายสมิธ”
ข้างหลังพวกเขา จูเลียสที่ไม่พอใจวิ่งไล่ตามมาพลางตะโกน “ผมไม่อยากอยู่บ้าน! ผมจะไปหาเอมิลี่!”
“เป็นเด็กดีนะลูก ตอนนี้แม่ไม่มีเวลาแล้ว!”
เอเลนรีบวิ่งไปเรียกแท็กซี่เพื่อไปโรงพยาบาลโดยไม่หันกลับไปมอง
ปกติแล้วการเดินทางจากบ้านไปโรงพยาบาลใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมง แต่วันนี้การจราจรดูจะติดขัดเป็นพิเศษ
เมื่อมองวีร่าที่หมดสติไปอีกครั้งในอ้อมแขน ความวิตกกังวลของเอเลนก็พุ่งสูงขึ้นจนน่าใจหาย
เธอเคยผ่านการอบรมทางการแพทย์มาก่อน
เธอรู้ว่าการอาเจียนอย่างรุนแรงอาจสร้างความเสียหายต่อร่างกายอย่างถาวรได้
หลังจากการเดินทางที่ขลุกขลักและฝ่ารถติด ในที่สุดเอเลนก็พาลูกมาถึงโรงพยาบาล แต่แล้วหัวใจของเธอก็หล่นวูบเมื่อเห็นฝูงชนแน่นขนัดเต็มโถงทางเดิน
ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่คนอาเจียนหรือมีไข้ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ บางคนพิงกันอย่างอ่อนแรงและไอออกมาเป็นครั้งคราว
บุคลากรทางการแพทย์ทำงานกันจนหัวหมุน ถึงขั้นต้องตะโกนใส่ฝูงชนเพื่อขอเปิดทาง
ความสงสัยอันเลวร้ายก่อตัวขึ้นในใจของเอเลน...นี่ไม่ใช่อาการอาเจียนธรรมดา แต่เป็นการระบาดของไวรัส
เมื่อดูจากจำนวนผู้ที่ได้รับผลกระทบ ลักษณะเด่นของไวรัสนี้คือติดต่อได้ง่ายและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
เธอรีบดึงหน้ากากอนามัยของวีร่าให้กระชับใบหน้ามากขึ้น
ยิ่งสถานที่แออัดมากเท่าไหร่ การแพร่เชื้อของไวรัสก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเท่านั้น
อาเธอร์คงยังไม่รู้ว่านี่เป็นไวรัส!
เมื่อตระหนักได้ดังนั้น เอเลนจึงใช้แขนข้างหนึ่งประคองวีร่าไว้ ส่วนมือข้างที่ว่างก็รีบส่งข้อความไปหาอาเธอร์ เตือนเขาเรื่องไวรัสและบอกให้เขาป้องกันตัวเอง
ข้อความนั้นไร้การตอบกลับ ราวกับก้อนหินที่ถูกโยนลงทะเลลึก
บัดนี้ จำนวนผู้ป่วยที่มาขอรับการรักษามีมากเกินกว่าที่โรงพยาบาลจะรองรับไหว และหลายคนเริ่มแสดงอาการกระสับกระส่าย
“พวกหมอหายไปไหนกันหมด ออกมารักษาพวกเราสิ! เมียผมอาเจียนมาสองวันแล้วนะ จะตายอยู่แล้ว!”
“ที่นี่ไม่มีใครรับผิดชอบเลยหรือไง”
“ช่วยด้วย! ลูกสาวฉันเพิ่งเป็นลมไป!”
เสียงตะโกนของใครคนหนึ่งจากกลางฝูงชนทำให้สถานการณ์ยิ่งโกลาหลมากขึ้น
เอเลนรีบถอยไปยังมุมหนึ่งพร้อมกับวีร่า พยายามหลีกเลี่ยงฝูงชนที่เบียดเสียดเข้ามา
เธอมองไปรอบๆ และเห็นว่าเพียงไม่กี่นาทีที่ผ่านมา มีคนล้มป่วยหมดสติไปหลายคน หัวใจของเธอเต้นรัวขณะพยายามปลอบวีร่า
“วีร่า อดทนไว้นะลูก เดี๋ยวคุณหมอก็มาแล้ว!”
ดวงตาของวีร่ายังคงปิดสนิท ไร้การตอบสนอง
“วีร่า ได้ยินเสียงแม่ไหม วีร่า!”
ม่านตาของเอเลนหดเล็กลงด้วยความกลัวขณะที่เธอพูดอย่างร้อนรน เธอใช้มือที่สั่นเทาอังจมูกของวีร่าเพื่อตรวจดูการหายใจ
ลูกยังไม่ตาย แต่ลมหายใจรวยรินเต็มที หากช้าไปกว่านี้...
เอเลนไม่กล้าคิดต่อให้จบ
โรงพยาบาลเต็มไปด้วยผู้คน ไม่มีเตียงว่างเลยสักเตียง เชื้อไวรัสที่รุนแรงขนาดนี้จำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยด่วน
คนเดียวที่สามารถติดต่อแพทย์ส่วนตัวได้คืออาร์เธอร์
เอเลนกัดฟันแน่นแล้วลองโทรหาเขาอีกครั้ง
รอบตัวเธอ ผู้ป่วยต่างตะโกนโหวกเหวกขณะที่แพทย์พยายามปลอบให้สงบ ในอ้อมแขนของเธอคือลูกสาวที่แทบจะไร้ชีวิต หัวใจของเอเลนรู้สึกราวกับถูกนาบอยู่บนแผ่นเหล็กร้อนๆ
เมื่อสายต่อติดในที่สุด เอเลนก็รีบพูดทันที “ที่รัก ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนคะ”
แต่สิ่งที่ทำให้เอเลนประหลาดใจคือเสียงที่ตอบกลับมาไม่ใช่น้ำเสียงเย็นชาของอาร์เธอร์ แต่เป็นเสียงของเอมิลี่
“เอเลน ฉันเอง”
น้ำเสียงของเอมิลี่ฟังดูสบายๆ
“ตอนนี้อาร์เธอร์ไม่ว่างน่ะ เธอมีอะไรก็บอกฉันได้”
ด้วยความสิ้นหวัง เอเลนตอบกลับไป “ช่วยให้อาร์เธอร์รับสายหน่อยเถอะ ฉันต้องการให้เขาติดต่อแพทย์ส่วนตัวของเขา วีร่าติดเชื้อไวรัสแล้วก็อาเจียนไม่หยุดเลย ลูกต้องได้รับการรักษาด่วน”
“เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะ”
ในที่สุดอาร์เธอร์ก็มารับสาย น้ำเสียงของเขาเจือความกังวล
“วีร่าไปติดเชื้อไวรัสมาได้ยังไง”
เอเลนไม่มีเวลาอธิบาย เธอจึงเร่งเขา “ฉันกับวีร่าอยู่ที่โรงพยาบาลตอนนี้ คุณให้แพทย์ส่วนตัวของคุณไปที่บ้านเราโดยตรงเลยนะ อาการของลูกหนักมาก ถ้ายังอาเจียนไม่หยุด ชีวิตอาจเป็นอันตรายได้”
อาร์เธอร์ตอบทันที “ได้ เดี๋ยวผมจะให้ผู้ช่วยไปจัดการให้ทันที”
เอเลนกำโทรศัพท์แน่น ดวงตาของเธอฉายแววไม่อยากจะเชื่อ
“แล้วคุณล่ะคะ”
วีร่ากำลังป่วยหนักนะ
เขาวางแผนจะอยู่ที่งานเลี้ยงฉลองของเอมิลี่ต่ออย่างนั้นหรือ
“ตอนนี้ผมไม่ว่าง ถ้าคุณต้องการอะไรก็บอกผู้ช่วยผมโดยตรงได้เลย”
น้ำเสียงเย็นชาของอาร์เธอร์ราวกับน้ำเย็นจัดที่สาดใส่หน้าเธอ
ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ว่าเอมิลี่เคยไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่กลับมาอย่างกะทันหันตอนที่เอเลนตั้งท้อง
ตลอดสี่ปีของการแต่งงาน ข่าวลือเรื่องของคนทั้งคู่ไม่เคยจางหายไป
เพื่อเห็นแก่ลูกๆ และคุณย่าของเขา เธอจึงอดทนเงียบๆ มาโดยตลอด อาร์เธอร์เคยอธิบายว่าข่าวลือเหล่านั้นเป็นแค่เรื่องที่สื่อแต่งขึ้นเพื่อสร้างกระแส
เธอเคยเชื่อเขา
เขายังเคยบอกอีกว่าลูกๆ คือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขา
แต่ตอนนี้ความจริงอันโหดร้ายกลับปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอ
ชีวิตของวีร่ามีค่าน้อยกว่างานเลี้ยงฉลองธรรมดาๆ งั้นหรือ
ช่างน่าขันและน่าสมเพชสิ้นดี
เอเลนไม่ทันสังเกตว่าสายตัดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่หลังจากนั้นไม่นานสายจากพี่เลี้ยงเด็กก็โทรเข้ามาทันที
“คุณผู้หญิงคะ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว... คุณจูเลียสก็หายตัวไปเหมือนกันค่ะ!”
